ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องแข่งขันกันด้วยความเร็วและนวัตกรรม ซอฟต์แวร์ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ตั้งแต่ระบบจัดการภายใน ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าสำหรับลูกค้า แต่สิ่งที่ท้าทายคือการเลือก บริษัทซอฟต์แวร์ อย่างไรให้เหมาะกับองค์กรของคุณที่สุด เพราะการเลือกพันธมิตรทางเทคโนโลยีไม่ได้หมายถึงแค่การจ้างคนมาพัฒนาโปรแกรมเท่านั้น แต่คือการเลือกคู่คิดทางธุรกิจ ที่จะช่วยให้เป้าหมายของคุณเกิดขึ้นจริง
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 6 วิธีเลือกบริษัทซอฟต์แวร์ ที่เหมาะกับองค์กร พร้อมเคล็ดลับลดความเสี่ยงทางธุรกิจ เพื่อให้การลงทุนด้านเทคโนโลยีของคุณคุ้มค่าที่สุด
ความท้าทายในการเลือกบริษัทซอฟต์แวร์
ในยุคดิจิทัลที่บริษัทซอฟต์แวร์เป็นหนึ่งในสิ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทั้งบริษัท, เอเจนซี่ และฟรีแลนซ์ ที่มีจำนวนตัวเลือกที่มากเกินไปอาจทำให้เจ้าของธุรกิจสับสนได้ง่าย ดังนั้นการเลือก บริษัทซอฟต์แวร์ (Software Development Company) จึงไม่สามารถเลือกแค่เพียงว่าเจ้าไหนให้ราคาถูกที่สุดหรือมีฟีเจอร์ที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่มันยังเป็นการเลือกพันมิตรที่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจของคุณ และสามารถสร้างคุณค่าได้จริง
แต่ทั้งนี้การหาบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมเพื่อนำวิสัยทัศน์นั้นไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ กลับไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณไม่แน่ใจว่าจะ เลือกบริษัทซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมได้อย่างไร ก็อาจตกหลุมกับคำโฆษณาเกินจริง หรือข้อเสนอราคาถูกที่ซ่อนความเสี่ยงไว้
โดยอุปสรรคที่หลายองค์กรมักเผชิญ เมื่อพยายามเลือกบริษัทซอฟต์แวร์ที่ใช่ มีดังนี้
- จำนวนบริษัทซอฟต์แวร์ที่มากเกินไป ปัจจุบันมีบริษัทซอฟต์แวร์จำนวนมาก ตัวเลือกที่มากเกินไปทำให้ยากที่จะคัดกรองผู้ให้บริการที่ไม่มีประสบการณ์หรือไม่น่าเชื่อถือออกไป
- การเชื่อมโยงเป้าหมายทางธุรกิจกับวิสัยทัศน์ นักพัฒนาที่ดีไม่ได้แค่สร้างตามที่คุณขอ แต่ต้องเข้าใจเป้าหมายของคุณ และคิดวิเคราะห์เชิงลึกถึงสิ่งที่ธุรกิจต้องการจริง ๆ
- การสื่อสารและความเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร หากการสื่อสารไม่ชัดเจนหรือวัฒนธรรมการทำงานไม่สอดคล้องกัน ความเข้าใจผิดและความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน มักนำไปสู่ความล่าช้าในการทำงาน
เลือกบริษัทซอฟต์แวร์ไม่เหมาะสม สร้างความเสี่ยงยังไงบ้าง ?
การที่องค์กรเลือกบริษัทซอฟต์แวร์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่มีการทำงานที่เป็นมืออาชีพ อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่าง ๆ ต่อโครงการและะุรกิจในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. เส้นตายที่พลาดและความคืบหน้าที่ล่าช้า
บริษัทซอฟต์แวร์ที่ไม่มีคุณภาพอาจทำให้การส่งงานล่าช้า ซึ่งส่งผลเสียทางธุรกิจที่ล่าช้าตามไปด้วย เนื่องจากทุกครั้งที่งานไม่เสร็จตามกำหนด จะส่งผลต่อแผนการเปิดตัวสินค้าหรือบริการเข้าสู่ตลาด และโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจกับคู่แข่ง โดยเฉพาะโครงการที่มีเวลาจำกัด การเลื่อนส่งงานหรือความล่าช้าอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหมดความเชื่อมั่นในทีมได้
2. งบประมาณบานปลาย
อีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยในการเลือกบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่เหมาะสมคือ ค่าใช้จ่ายที่บานปลาย เกินงบประมาณที่วางไว้ อาจเกิดเนื่องจากการวางแผนงานที่ไม่ดี หรือทีมพัฒนาที่ขาดประสบการณ์ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรอีกด้วย
3. ได้โค้ดคุณภาพต่ำ
ทักษะการเขียนโค้ดเป็นส่วนสำคัญในการสร้างซอฟต์แวร์องค์กรหรือธุรกิจให้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพ หากเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ไม่มืออาชีพ อาจได้โค้ดที่เขียนไม่มีคุณภาพจนกลายเป็นปัญหาไม่รู้จบ ถึงแม้ในช่วงแรกจะดูเหมือนทำงานได้ แต่เมื่อใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมของผู้ใช้ อาจเกิดการล่ม, บั๊ก, หรือประสบการณ์ผู้ใช้ที่แย่
4. การสื่อสารที่ขาดความชัดเจน
ทักษะการสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นระหว่างองค์กรและบริษัทซอฟต์แวร์ และต้องมีการอัปเดตความคืบหน้าของโครงการอย่างต่อเนื่อง หากทีมพัฒนาไม่มีการสื่อสารอาจทำให้การทำงานไม่เข้าใจตรงกัน จนเกิดความขัดแย้ง ความลังเล และความไม่มั่นใจในผลลัพธ์ที่ได้
5.ไม่ได้รับบริการหลังการขาย
การพัฒนาซอฟต์แวร์ ไม่ได้จบแค่การเผยแพร่ซอฟต์แวร์สู่ตลาดเท่านั้น แต่ยังต้องมีการอัปเดต, แก้ไขข้อผิดพลาด หรือปรับปรุงฟังก์ชันเพิ่มเติม ถ้าบริษัทซอฟต์แวร์ไม่มีการดูแลหลังจากเปิดตัว หรือหายไปหลังส่งงาน องค์กรจะไม่สามารถปรับซอฟต์แวร์ให้ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ได้
6 วิธีเลือกบริษัทซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมต่อองค์กร

สำหรับองค์กรที่ต้องการเลือกบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมต่อองค์กร สามารถดำเนินการ ตั้งแต่กำหนดเป้าหมาย, พิจารณาบริษัทซอฟต์แวร์ และเลือกวิธีการที่เหมาะสม ตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
1. ระบุความต้องการและเป้าหมายทางธุรกิจ
การที่องค์กรจะเลือกบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์นั้น ก่อนอื่นองค์กรจะต้องเข้าใจเป้าหมายที่ต้องการ ได้แก่ ซอฟต์แวร์จะแก้ปัญหาใดต่อองค์กร, เป้าหมายระยะสั้นหรือระยะยาว และแอปพลิเคชันนี้จะส่งผลต่อการดำเนินงานและประสบการณ์ของลูกค้าอย่างไร เป็นต้น
เนื่องจากการระบุเป้าหมายและความต้องการที่ชัดเจน จะช่วยต่อการสื่อสารกับบริษัทซอฟต์แวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้แน่ใจว่าทุกมุมมองถูกนำมาพิจารณา การทำงานแบบร่วมมือกันนี้ไม่เพียงทำให้โซลูชันระบบซอฟต์แวร์สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของโครงการอีกด้วย
2. ประเมินความเชี่ยวชาญของบริษัทและข้อเสนอบริการ
ในส่วนของการประเมินว่าองค์กรจะเลือกบริษัทซอฟต์แวร์ไหน ให้ตรงกับเป้าหมายที่วางไว้ องค์กรจะต้องทำการศึกษาโดยละเอียด เช่น ดูจากผลงานที่ผ่านมาและกรณีศึกษา โดยเงื่อนไขที่ควรพิจารณาได้แก่ ประสบการณ์ของบริษัทซอฟต์แวร์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ , ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และรูปแบบการให้บริการที่ครบวงจรหรือไม่ เป็นต้น
หลังจากที่ศึกษาข้อมูลและรวบรวมบริษัทซอฟต์แวร์ที่สนใจแล้ว จะช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบ วิธีการนี้ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจพันธมิตรทางธุรกิจได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของโครงการอีกด้วย
3. ประเมินกระบวนการและวิธีการพัฒนา
หลังจากที่พิจารณาบริษัทซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมได้แล้ว สิ่งต่อมาที่ควรพิจารณาคือ แนวทางการพัฒนา (methodologies) ที่ใช้ในการพัฒนา ว่าวิธีพัฒนาแบบไหนที่เหมาะสมต่อโครงการมากที่สุด โดยแนวทางหลักที่ควรพิจารณา ได้แก่
- Agile Methodology เน้นการพัฒนาแบบเป็นรอบ ที่ยืดหยุ่น ปรับตัวได้ตามความต้องการที่เปลี่ยนไป และให้คุณค่าอย่างต่อเนื่อง วิธีนี้ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการรับฟังความคิดเห็นตลอดเวลา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
- Waterfall Methodology เป็นวิธีดั้งเดิมที่ดำเนินการตามลำดับทีละขั้นตอน เหมาะกับโครงการที่มีข้อกำหนดชัดเจน แต่ข้อเสียคือยืดหยุ่นน้อย ทำให้ไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย
- DevOps รวมการพัฒนาและการปฏิบัติการเข้าด้วยกัน ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างทีม เพิ่มประสิทธิภาพ และเร่งการส่งมอบงาน ด้วยการอัตโนมัติและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
4. ศึกษากรณีศึกษาที่ผ่านมา
หลังจากที่เลือกบริษัทซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมได้แล้ว องค์กรควรศึกษากรณีศึกษาที่แสดงศักยภาพของบริษัทในโครงการที่คล้ายกัน เพื่อสร้างความมั่นใจต่อการเลือกพันธมิตรด้านซอฟต์แวร์ให้ตอบโจทย์องค์กร ดังนี้
- ศึกษาปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในโครงการก่อนหน้า และแนวทางที่บริษัทใช้ในการแก้ปัญหา เพื่อดูความสามารถในการวิเคราะห์และปรับตัว
- มองหาผลลัพธ์ที่วัดได้ เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพ, ประสบการณ์ผู้ใช้ หรือการเติบโตของรายได้ เพราะระดับความพึงพอใจของลูกค้ามักส่งผลกับความสำเร็จของโครงการ
- ดูคำแนะนำหรือรีวิวจากลูกค้าก่อนหน้าเพื่อดูจุดแข็งและโอกาสในการปรับปรุงของบริษัท คำชมช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือ ในขณะที่คำติอาจบ่งบอกจุดที่ควรพัฒนา
5. ตั้งราคาและการจัดสรรงบประมาณ
เมื่อองค์กรได้พันธมิตรบริษัทซอฟต์แวร์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือรูปแบบการตั้งราคาและเหมาะสมกับงบประมาณที่วางไว้ เช่น การคิดราคาแบบคงที่, การคิดค่าบริการตามระยะเวลาและทรัพยากร และการจัดทีมเฉพาะเพื่อมาร่วมโครงตามระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้น
การเลือกรูปแบบการตั้งราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณที่องค์กรวางไว้ จะช่วยควบคุมไม่ให้ค่าใช้จ่ายบานปลาย โดยที่โครงการสามารถบรรลุผลสำเร็จตามที่กำหนดไว้
6. ประเมินแนวทางการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน
ในขั้นตอนสุดท้ายของการเลือกพันธมิตรบริษัทซอฟต์แวร์ คือการที่องค์กรและทีมผู้พัฒนาจะต้องร่วมกัน ประเมินแนวทางการสื่อสารเพื่อทำงานร่วมกัน เพื่อให้การดำเนินการสามารถเป็นไปอย่างสำเร็จตามแผนงานที่วางไว้ โดยสิ่งที่ควรพิจารณา ได้แก่ เครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่ใช้สื่อสาร, การตอบสนองที่รวดเร็วต่อเนื่อง และการจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างดำเนินการ เป็นต้น
ซึ่งการวางแผนการสื่อสารที่เหมาะสมชัดเจน ไม่เพียงช่วยสร้างความไว้วางใจ แต่ยังวางรากฐานให้เกิดความสัมพันธ์การทำงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
สรุป
การเลือก บริษัทซอฟต์แวร์ ที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องของราคาเพียงอย่างเดียว แต่คือการมองภาพรวมของความสามารถ ประสบการณ์ และความเข้าใจในเป้าหมายธุรกิจขององค์กร โดยเริ่มจากการระบุความต้องการที่ชัดเจน ศึกษาความเชี่ยวชาญของบริษัท ประเมินกระบวนการพัฒนาและแนวทางสื่อสาร รวมถึงเลือกรูปแบบการตั้งราคาที่สอดคล้องกับงบประมาณ
สำหรับองค์กรไหนที่กำลังมองหา บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่สามารถมั่นใจเรื่องความเป็นมืออาชีพ และมีบริการด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ครบจบ ขอแนะนำ อโยเดีย ที่มีทีมพัฒนาที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมการันตีด้วยมาตรฐานสากล ISO29110 และ CMMI level 3 เพื่อให้คุณได้ซอฟต์แวร์ที่ตรงตามเป้าหมายที่สุด


