ทุกวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นสิ่งขับเคลื่อนการใช้ชีวิตของผู้คน รวมไปถึงการทำธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องย้ายไปทำในรูปแบบออนไลน์หรือเป็นธุรกิจ E-Commerce และใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น AI หรือ Machine Learning มาช่วยสร้างความเติบโต เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีต่อลูกค้า
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเทคโนโลยีที่ชาวธุรกิจ E-Commerce จำเป็นต้องใช้ หากต้องการให้ธุรกิจเติบโต จะมีอะไรบ้างถ้าพร้อมแล้วไปติดตามอ่านกันได้เลยครับ
ทำความรู้จักธุรกิจ Digital Commerce
สำหรับการทำธุรกิจ E-Commerce ในยุคของ Digital Transformation ได้มีคำเรียกใหม่ของธุรกิจนี้ว่า Digital Commerce ซึ่งความหมายก็คือการทำพาณิชยกรรมในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งจะเป็นการทำธุรกรรมเกี่ยวกับธุรกิจที่มีการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ การวางแผนธุรกิจ การทำการตลาด การจัดการระบบข้อมูล ไปจนถึงการชำระเงิน
โดยการทำ Digital Commerce หรือธุรกิจ E-Commerce ในยุคดิจิทัลนั้น สามารถทำได้โดยอาศัยช่องทางหรือแพลตฟอร์ม ดังนี้
-Website หรือ Web Application เป็นการสร้างเว็บไซต์ของธุรกิจโดยเฉพาะ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าใช้งานผ่าน URL เพื่อเลือกซื้อสินค้าหรือบริการได้ทันที
-Mobile Commerce หรือ Mobile Application เป็นการทำธุรกิจผ่านแอปพลิเคชันมือถือ เช่น แอปพลิเคชันช้อปปิ้งต่าง ๆ หรือแอปพลิเคชันของธุรกิจเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
-Social Commerce เป็นการทำการตลาดผ่านแอปพลิเคชันโซเชียลต่าง ๆ เช่น Facebook, Line OA, Instagram เป็นต้น
-Marketplace แพลตฟอร์ม ที่เป็นพื้นที่รวมหลากหลายร้านค้าไว้ด้วยกัน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าและเปรียบเทียบราคาได้สะดวกยิ่งขึ้น
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำธุรกิจในยุค Digital Transformation
ได้ที่บทความ: Digital Transformation กับการปรับตัวธุรกิจในปัจจุบัน

5 เทคโนโลยีสำคัญต่อธุรกิจ E-Commerce
การทำธุรกิจ E-Commerce ในยุคดิจิทัล การใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ โดยเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการเติบโตของ E-Commerce มีดังนี้
1.Smart Chatbots
เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ผสมผสานระหว่าง AI และ Machine Learning ซึ่งจะทำหน้าที่ในการโต้ตอบกับผู้ใช้งานโดยอัตโนมัติ ซึ่งนอกจากตัว Smart Chatbots จะสามารถตอบคำถามพื้นฐานต่าง ๆ ต่อผู้ใช้งานแล้ว ยังสามารถที่จะเรียนรู้จากการโต้ตอบต่าง ๆ เพื่อทำให้สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับบทบาทหน้าที่ของ E-Commerce จะช่วยต่อการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำบริการต่าง ๆ ให้กับลูกค้า หรือสามารถให้ข้อมูลสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้อย่างแม่นยำและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2.Smart Inventory Management
เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ E-Commerce ขนาดใหญ่ที่มีคลังสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยเทคโนโลยี Smart Inventory Management จะเป็นการใช้ AI เข้ามาทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ ปรับปรุง และจัดการกับข้อมูลที่มีปริมาณมากของสต๊อกสินค้าในคลัง เพื่อให้ธุรกิจสามารถจัดการกับสินค้าคงเหลือได้อย่างเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
โดย Smart Inventory Management จะทำหน้าที่ช่วยในการวิเคราะห์และคาดการณ์พฤติกรรมต่าง ๆ ของลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจสามารถจัดการกับปริมาณสินค้าได้อย่างเหมาะสม ผ่านระบบห่วงโซ่อุปทาน เช่น การจัดแคมเปญการตลาด การสร้างโปรโมชันจัดจำหน่ายที่เหมาะสม เป็นต้น เพื่อให้สินค้าในคลังอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ค้างสต๊อกนานจนเกินไป ช่วยลดความเสี่ยงต่อการขาดทุนของธุรกิจ และยังลดต้นทุนในการจ้างพนักงานเช็กสินค้าในสต๊อกได้อีกด้วย
3.Smart Product Recommendations
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าหรือผู้ใช้งาน เพื่อนำมาต่อยอดในการช่วยแนะนำสินค้าอัจฉริยะ ซึ่ง AI ของ Smart Product Recommendations จะทำหน้าที่เรียนรู้ผ่านการพฤติกรรมการใช้งานแต่ละครั้งของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ประวัติการค้นหา, ประวัติการสั่งซื้อ รวมไปถึงความสนใจส่วนตัวของลูกค้าแต่ละคน โดย AI จะนำข้อมูลที่ได้มาไปประมวลผลเพื่อทำการแนะนำสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด
จุดเด่นของการใช้ Smart Product Recommendation จะช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการช้อปปิ้งออนไลน์สำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ E-Commerce ช่วยให้ลูกค้าสามารถได้รับการแนะนำสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการตลอดเวลา ช่วยต่อการตัดสินใจซื้อ รวมถึงเพิ่มยอดการขายของธุรกิจ E-Commerceให้เกิดความเติบโตมากยิ่งขึ้น
4.Visual Search
เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความประทับใจต่อการสั่งซื้อสินค้าของผู้ใช้บริการ โดยจะช่วยลดความยุ่งยากในการค้นหาสินค้าผ่านเทคโนโลยีแบบ Visual Search ที่ลูกค้าหรือผู้ใช้งานสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการผ่านการถ่ายภาพหรือใช้รูปภาพในการค้นหา ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าสามารถได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น
ซึ่งการใช้ Visual Search นอกจากจะสร้างความสะดวกให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าบน ธุรกิจ E-Commerce แล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการโปรโมตสินค้าประเภทเดียวกัน ทำให้ลูกค้าลูกสึกได้รับทางเลือกในการซื้อมากขึ้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อมากขึ้นกว่าเดิม
5.Recognition
คือเทคโนโลยีในการช่วยจดจำใบหน้าหรือที่เรียกว่า Face Recognition ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างยิ่ง โดยเทคโนโลยีนี้จะทำหน้าที่เป็นเหมือนการจดจำรหัสผ่านด้วยใบหน้าหรือลายนิ้วมือที่เป็นอัตลักษณ์ของผู้ใช้งาน หากพบว่าข้อมูลมีความคลาดเคลื่อนก็จะไม่สามารถใช้งานได้ เพราะการ Recognition นี้จะช่วยต่อการสร้างความปลอดภัยในการใช้งานของลูกค้า รวมถึงสร้างความเป็นส่วนตัวในการใช้งานในแต่ละครั้ง
สำหรับ E-Commerce ที่จำเป็นต่อการใช้งานเทคโนโลยี Recognition ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่เป็นการทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชันธนาคาร การเงินต่าง ๆ เป็นต้น เพราะการจดจำใบหน้าจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยจากการเข้าใช้งานในแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันบุคคลอื่นที่แอบอ้างเข้ามาปลดล็อกเพื่อใช้งานบัญชีธนาคารโดยไม่ชอบธรรมได้ นอกจากนี้เทคโนโลยี Recognition ยังช่วยต่อธุรกิจค้าขายออนไลน์ เพื่อให้สามารถนำเสนอโปรโมชันต่าง ๆ ให้กับลูกค้าที่มีการใช้งานซ้ำบ่อย ๆ ได้อย่างแม่นยำ มีคุณภาพมากขึ้น
สรุป
การทำธุรกิจ E-Commerce เราไม่สามารถปฏิเสธการนำเทคโนโลยีมาใช้งานได้ ดังนั้นการสร้างธุรกิจให้เติบโตได้นั้น ควรใช้เลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างยอดขายที่ดีมากขึ้น ยังทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจต่อธุรกิจอีกด้วย
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ E-Commerce ที่ต้องการเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกและสร้างความเติบโต ขอแนะนำ Ayodia ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำ ปรึกษา และพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้กับธุรกิจของคุณ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือ AI, ระบบซอฟต์แวร์องค์กร และที่ปรึกษาด้าน IT ที่พร้อมช่วยยกระดับธุรกิจของคุณ